เวลาพูดว่าหุ้นอะไรถูกหรือแพง เราวัดกันที่ไหน ? ถ้าเป็นสายซิ่ง อาจจะวัดที่ใจ วัดที่เจ้า ถ้ามาแนวนี้ก็ต้องอวยพรว่า ขอให้เฮงและปัง

แต่ถ้ามาแนวอยากได้ของดี มีอนาคต การวิเคราะห์หาความถูกแพงของหุ้นคงต้องนึกถึง P/E ratio เป็นลำดับแรกๆ ซึ่งคำนวนจากราคาตลาดของหุ้น (P) มาหารด้วยอัตรากำไรต่อหุ้น (EPS) ผลที่ได้ก็คืออัตราส่วนระหว่างราคาหุ้นและความสามารถในการทำกำไรของบริษัท P/E ยิ่งต่ำยิ่งดี และยิ่งดีกว่าหากต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดและอุตสาหกรรม

แต่ !! P/E ก็มีจุดอ่อนในการใช้ชี้วัดหุ้นในบางธุรกิจ เพราะอาจจะไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง โดยเฉพาะกลุ่มที่ลงทุนบ่อยและมีค่าเสื่อมที่ต้องบันทึกต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่นหุ้นธุรกิจขนส่ง บริษัท เอทีพี 30 จำกัด (มหาชน) หรือ ATP30 จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ P/E ประมาณ 35 เท่า ซึ่งโดยปกติธุรกิจต้องมีการลงทุนรถรับส่งเสมอ และจะต้องมีการบันทึกค่าเสื่อมทุกครั้งที่ลงทุนใหม่ โดยอาจจะส่งผลต่อกำไรในแง่ของการบันทึกบัญชี ดังนั้นอัตราส่วนที่น่าจะเหมาะสมในการดูน่าจะเป็น EV/EBITDA มากกว่า

โดย EV/EBITDA เกิดจากการนำ EV (Enterprise Value  คือ มูลค่าสุทธิของกิจการ = มาร์เก็ตแคป+หนี้ – เงินสด) หารด้วย EBITDA (กระแสเงินสดสุทธิก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี เป็นกำไรที่ได้จากผลการดำเนินงาน หักเฉพาะค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับผลการดำเนินงาน และบวกกลับด้วยค่าเสื่อมต่างๆที่หักทางบัญชี แต่จริงๆแล้วไม่ได้เสียเงินจริง)

EV/EBITDA จะขจัดความแตกต่างของนโยบายทางบัญชีที่สำคัญ เช่น ค่าเสื่อมราคา ซึ่งเป็นค่าที่มีความสำคัญมากสำหรับหุ้นที่ใช้เครื่องจักรสูง และรถรับส่งถือเป็นเครื่องจักรของธุรกิจ ซึ่ง ATP30 ตั้งค่าเสื่อมรถ 1 คันไว้ที่ 10 ปี แต่การใช้งานจริงของรถรับส่งสามารถใช้ได้ยาวนานกว่า 15 ปี

ดังนั้น EV/EBITDA จึงน่าจะเป็นตัวชี้วัดที่เหมาะสมกว่า โดย ATP30 มี EV/EBITDA (ณ 30 มี.ค.61) ที่ 14.20 เท่า ซึ่งต่ำกว่าบริษัทอื่นๆที่ทำธุรกิจขนส่ง-โลจิสติกส์ ใกล้เคียงกัน เช่น NCL 65.24 เท่า WICE 26.17 เท่าและ III 21.09 เท่า

และหากมองในแง่ของความสามารถในการทำกำไรของ ATP30 ปีนี้ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง คาดว่ากำไรจะเติบโตโดดเด่นมาก โดยสัญญาณที่เห็นในไตรมาส 4/60 มีกำไร 10.56 ล้านบาท ดังนั้นหากนับเฉพาะลูกค้าเดิมซึ่งเป็นสัญญาระยะยาว กำไรในปี 2561 น่าจะทำได้อย่างน้อย 40 ล้านบาท ซึ่งให้ภาพการเติบโตได้อย่างน้อย +62% YoY อยู่แล้ว ยังไม่นับรวมค่าเสื่อมของรถที่คิดเป็น 14% ของรายได้รวม ซึ่งปีนี้มีรถที่จะหมดค่าเสื่อมรวม 35 คัน คิดเป็น 15% ของรถทั้งหมด 234 คัน ณ สิ้นปี 2560 ย่อมทำให้ อัตรากำไรสุทธิ (net profit margin) เพิ่มขึ้นได้อีกด้วยจากฐาน 7.6% ในปัจจุบัน

EV/EBITDA เป็นเพียงอีกหนึ่งเครื่องมือที่ใช้ประเมินมูลค่าเท่านั้น นักลงทุนต้องศึกษาข้อมูลอื่น ๆ ของบริษัทประกอบด้วย ก่อนตัดสินใจลงทุน

 

CR: www.thunhoon.com